แจ้งเตือนระวังไวรัสเข้ารหัสระบาดหนัก อย่ากดรับอะไรมั่วๆ โดยเฉพาะเอกสารที่ส่งมากับเมลของท่าน

เตรียมพร้อมรับมือ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติในภาพอาจจะมี ข้อความไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ
ในภาพอาจจะมี ข้อความ

สิ่งที่ SysAdmin ต้องทำโดยด่วนในขณะนี้ เพื่อป้องกัน #มัลแวร์เรียกค่าไถ่#WannaCrypt ที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลกในขณะนี้

* ท่านที่ดูแลห้องแล็ปคอมฯ หรือดูแลศูนย์สารสนเทศองค์กรที่ใช้ Windows XP, 7, 8, 10 หรือฝั่งเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ Win server 2003, 2008, 2012, 2016 #รีบอัปเดทโดยด่วนก่อนจะโดนมัลแวร์ยึดเครื่องทั้งองค์กร จะเป็นเหตุให้แก้ปัญหายากกว่านี้มากมาย

>> ลิ้งอัปเดทแพตช์ระบบ Windows
Link1: https://technet.microsoft.com/…/libr…/security/ms17-010.aspx
Link2 : https://blogs.technet.microsoft.com/…/customer-guidance-fo…/

หมายเหตุ
ในกรณีที่กลัวอัปเดทไม่ทัน หรือมีทีมงานไอทีจำกัด ให้ปิดการใช้งาน SMB ไปก่อน (โดยเฉพาะเครื่องที่ระบบเป็น Windows XP สำคัญมาก)

ขั้นตอน
วิธีที่ 1
1. คลิกที่ Start > Control Panel > Program and Features > Turn Windows features on or off
[ ] SMB 1.0/CIFS File Sharing Support (ยกเลิก / )
2. คลิกปุ่ม OK

วิธีที่ 2
1. ปิดพอร์ต TCP/UDP SMB หมายเลข 135-139 และ 445 (ที่ firewall)

————————
กรณีไม่ทำการแก้ไขเครื่องสุ่มเสี่ยงต่อการที่มัลแวร์เรียกค่าไถ่ WannaCrypt เจาะเข้าระบบจากรูรั่วของ windows ทีไม่อัปเดทแพตช์
———————–
ลิงค์ตรวจสอบการแพร่กระจายของมัลแวร์เรียกค่าไถ่ WannaCrypt
Link1: https://intel.malwaretech.com/botnet/wcrypt

Link2: https://intel.malwaretech.com/WannaCrypt.html
———————

> ฟอร์แมตไฟล์ที่จะถูกเข้ารหัส เปลี่ยนเป็นนามสกุล .WCRY
.lay6
.sqlite3
.sqlitedb
.accdb
.java
.class
.mpeg
.djvu
.tiff
.backup
.vmdk
.sldm
.sldx
.potm
.potx
.ppam
.ppsx
.ppsm
.pptm
.xltm
.xltx
.xlsb
.xlsm
.dotx
.dotm
.docm
.docb
.jpeg
.onetoc2
.vsdx
.pptx
.xlsx
.docx

อ่านต่อได้ที่ http://www.cyberswachhtakendra.gov.in/…/wannacry_ransomware…

หมายเหตุ2
WannaCrypt นับเป็นภัยอันตรายที่ส่งผลต่อผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วโลกพร้อมๆ กันเท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว ระวังข้อมูลองค์กร ข้อมูลตนเอง และระวังตัวด้วยนะครับ จริงๆ พนักทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกัน คนละม้ายคนละมือ อย่าฝากความหวังไว้ที่ SysAdmin หรือไอทีเพียงอย่างเดียว เห็นใจคนทำงานสายนี้จริงๆ

ขอให้สนุกกับการทำงาน การแก้ปัญหา ตัดเน็ตเวิร์ค และปิดการทำงานของ SMB1 บนระบบ Windows เช้าวันจันทร์นี้ (15 May 2017)อย่าลืมออกประกาศไปถึงพนักงานทุกคนด้วย มันไม่ช่ายเรื่องเล่นๆ เรื่องใหญ่มากกกกกก อย่าวัวหายแล้วล้อมคอก 🙂

#DrArnutTips

หญ้าแฝก สรรพคุณและประโยชน์ของหญ้าแฝกหอม 20 ข้อ ! และการปลูก

หญ้าแฝก

หญ้าแฝก

หญ้าแฝก ชื่อสามัญ Vetiver grass, Khuskhus, Cuscus, Sevendara grass[1]

หญ้าแฝก ชื่อวิทยาศาสตร์ Chrysopogon zizanioides (L.) Roberty (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Vetiveria zizanioides (L.) Nash) จัดอยู่ในวงศ์หญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE)[1]

สมุนไพรหญ้าแฝก มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า หญ้าแฝกหอม (นครราชสีมา, ภาคกลาง), แกงหอม แคมหอม (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) เป็นต้น[1]

หญ้าแฝกมีอยู่ในโลกประมาณ 11-12 ชนิด แต่ในประเทศไทยพบว่ามีอยู่เพียง 2 ชนิด คือ หญ้าแฝกหอมหรือหญ้าแฝกลุ่ม (Chrysopogon zizanioides (L.) Roberty) และหญ้าแฝกดอน (ชื่อวิทยาศาสตร์ Chrysopogon nemoralis (Balansa) Holttum (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Vetiveria nemoralis (Balansa) A.Camus)) ในธรรมชาติเราจะพบหญ้าแฝกทั้งสองชนิดนี้ได้ทั่วไป เพราะขึ้นได้ดีในสภาพพื้นที่ทั้งที่ลุ่มและที่ดอน ในดินสภาพต่าง ๆ จากความสูงใกล้กับระดับน้ำทะเลไปจนถึงระดับประมาณ 800 เมตร และถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของพืชชนิดนี้สันนิษฐานว่าอยู่ในประเทศอินเดีย[3]

ความแตกต่างระหว่างหญ้าแฝกหอมและหญ้าแฝกดอน

หญ้าแฝกทั้งสองชนิดจะมีลักษณะภายนอกของใบที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยสามารถจำแนกได้ดังนี้

  • หญ้าแฝกหอม ใบมีความกว้างประมาณ 0-6-1.2 เซนติเมตรและยาวประมาณ 45-100 เซนติเมตร ใบเป็นสีเขียวเข้ม หลังใบโค้งปลายแบน เนื้อใบค่อนข้างเนียน มีไขเคลือบทำให้ดูมัน ส่วนท้องใบจะออกเป็นสีขาวซีดกว่าหลังใบ[3]
  • หญ้าแฝกดอน ใบมีความกว้างประมาณ 0.4-0.8 เซนติเมตรและยาวประมาณ 35-80 เซนติเมตร ใบเป็นสีเขียวซีด หลังใบพับเป็นสันสามเหลี่ยม เนื้อใบหยาบสากมือ มีไขเคลือบน้อยทำให้ดูกร้าน ส่วนท้องใบจะเป็นสีเดียวกับหลังใบ แต่จะมีสีซีดกว่า[3]
  • สำหรับลักษณะโครงสร้างภายนอกเมื่อทำการเปรียบเทียบจะพบว่า ใบหญ้าแฝกหอมจะมีเนื้อใบหนากว่า และขนาดของช่องอากาศก็มีขนาดใหญ่กว่าหญ้าแฝกดอนด้วย[3]
  • ส่วนความแตกต่างของลักษณะภายในรากที่เห็นได้ชัดเจน คือ รากหญ้าแฝกหอมจะมีโพรงอากาศในบริเวณคอร์เทกซ์ และมีขนาดที่ใหญ่กว่าหญ้าแฝกดอน[3]

ต้นหญ้าแฝก

ลักษณะของหญ้าแฝก

  • ต้นหญ้าแฝก จัดเป็นไม้จำพวกหญ้า มีอายุหลายปี เป็นหญ้าที่ขึ้นเป็นกอแน่น ใบยาวตั้งตรงขึ้นได้สูงประมาณ 1-2 เมตร กอแฝกจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ โคนกอเบียดแน่นไม่มีไหล ส่วนโคนของลำต้นจะแบน โดยเกิดจากส่วนของโคนใบที่แบนเรียงซ้อนกัน และลำต้นแท้จะมีขนาดเล็กซ่อนอยู่ในกาบใบบริเวณคอดิน มีรากเหง้าเป็นฝอยอยู่ใต้ดินและมีกลิ่นหอม มักพบขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ หรือขึ้นกระจายกันแต่ไม่ไกลกันมากนัก ส่วนการเจริญและแตกกอพบว่าจะมีการแตกหน่อใหม่ทดแทนต้นเก่าอยู่เสมอ โดยจะแตกหน่อออกทางด้านข้างรอบ ๆ กอ ในบ้านเราจะพบหญ้าแฝกได้มากที่โล่งแจ้ง โดยเฉพาะบริเวณที่มีความชื้นสูง หรือใกล้น้ำ และในป่าเต็งรัง[1],[3]

แฝกหอม

  • รากหญ้าแฝก รากมีลักษณะเป็นรากฝอยที่แตกจากส่วนของลำต้นใต้ดิน โดยจะกระจายแผ่กว้างออกเพื่อยึดพื้นดินไปตามแนวนอน การเจริญของระบบรากจะเป็นไปในแนวดิ่ง แต่จะเจาะไม่ลึกมาก และจะแตกต่างจากรากหญ้าทั่วไป คือมีรากที่เจริญโตเร็ว สานกันแน่น หยั่งลึกในแนวดิ่งลงใต้ดินไม่แผ่ขนาน และมีรากฝอยขนาดใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อหญ้าแฝกมีอายุได้ประมาณหนึ่งปีครึ่ง รากจะเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ รากแกนส่วนโคนกอจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-3 มิลลิเมตร และเปลือกรากจะมีลักษณะอวบน้ำคล้ายกับนวม ช่วยทำหน้าที่เพิ่มความหนา เพิ่มความแข็งแรง ช่วยดูดน้ำและความชื้น และช่วยป้องกันส่วนลำเลียงน้ำและสารอาหารที่อยู่ภายใน[3]

รากหญ้าแฝก

  • ใบหญ้าแฝก ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ โดยใบจะแทงออกมาจากเหง้าที่อยู่ใต้ดิน ลักษณะของใบเรียวยาวหรือแคบยาว ขอบใบขนาดปลายใบสอบแหลม ขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 8 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 120 เซนติเมตร หลังใบและท้องใบเรียบ ท้องใบจะมีสีจางกว่าด้านหลังใบ เนื้อใบกร้านสากและคายมือ โดยเฉพาะใบแก่ ขอบใบและเส้นกลางใบจะมีหนามละเอียด หนามบนใบที่ส่วนโคนและกลางแผ่นใบจะมีน้อย โดยหนามจะมีลักษณะตั้งทแยงชี้ขึ้นไปทางปลายใบ ส่วนกระจังหรือเยื่อกันน้ำฝนที่โคนใบจะลดรูปเหลือเพียงแผ่นโค้งของขนสั้นละเอียด แต่จะมีมากตรงปลาย ก้านใบเป็นกาบหุ้มลำต้น[1],[3]

ใบหญ้าแฝก

  • ดอกหญ้าแฝก ออกดอกเป็นช่อตั้งลักษณะเป็นรวง โดยจะออกบริเวณปลายยอด ก้านช่อดอกยาวกลมยื่นพ้นจากลำต้น ก้านช่อดอกและรวงจะมีความสูงประมาณ 100-150 เซนติเมตร (หรืออาจถึง 200 เซนติเมตรในต้นที่มีความสมบูรณ์) และเฉพาะในช่วงของช่อดอกหรือรวงจะสูงประมาณ 20-40 เซนติเมตร แผ่กว้างเต็มที่ได้ประมาณ 10-15 เซนติเมตร ดอกย่อยจำนวนมาก มีขนาดเล็กและเป็นสีม่วงอมเขียว หญ้าแฝกจะมีดอกหญ้าเรียงตัวกันอยู่ด้วยเป็นคู่ ๆ โดยจะมีลักษณะและขนาดที่ใกล้เคียงกัน ในแต่ละคู่จะประกอบไปด้วยดอกที่ไม่มีก้านและดอกที่มีก้าน ยกเว้นตรงส่วนปลายของก้านช่อย่อยที่มักจะเรียงเป็น 3 ดอกอยู่ด้วยกัน โดยดอกที่มีก้านจะชูอยู่ด้านบนและเป็นดอกเพศผู้ที่มีแต่เกสรอยู่ด้านใน ส่วนดอกที่ไม่มีก้านจะอยู่ด้านล่างและเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ และในแต่ละดอกจะประกอบไปด้วยดอกย่อยอีก 2 ดอก ซึ่งส่วนมากจะมีการลดรูปหรือเจริญไม่สมบูรณ์จนเหลือแต่ดอกย่อยเพียงดอกเดียวกับดอกย่อยเปล่า ๆ ที่มีแต่กาบคลุมอยู่ ดอกหญ้าแฝกจะมีลักษณะเป็นรูปกระสวย ปลายสอบ ดอกมีขนาดกว้างประมาณ 1.5-2.5 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 2.5-3.5 มิลลิเมตร ด้านหลังดอกมีผิวขรุขระ มีหนามแหลมขนาดเล็ก โดยเฉพาะที่บริเวณขอบ[1],[3]

ดอกหญ้าแฝก

  • ผลหญ้าแฝก ผลเป็นผลแห้ง ไม่แตก[1] ผลหญ้าแฝกจะเป็นแบบ Caryopsis เมื่อดอกได้รับการผสมแล้ว ดอกที่ไม่มีก้านดอกที่เป็นดอกสมบูรณ์ก็จะติดเมล็ด เมล็ดจะมีลักษณะเป็นรูปกระสวย หัวท้ายมน ผิวเรียบ เปลือกบาง เมล็ดมีขนาดกว้างประมาณ 1-1.5 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 2.5-3 มิลลิเมตร โดยดอกหญ้าแฝกจะสามารถติดเมล็ดได้เพียงร้อยละ 50 เท่านั้น เนื่องจากในแต่ละช่อดอกจะมีดอกสมบูรณ์เพศประมาณครึ่งหนึ่ง ประกอบกับการสุกของเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียที่อยู่ในดอกเดียวกันหรือต่างดอกกันมักจะไม่สัมพันธ์กัน ทำให้โอกาสที่จะผสมพันธุ์กันนั้นมีน้อย[3]

สรรพคุณของหญ้าแฝก

  1. รากมีรสหอม ช่วยทำให้ดวงจิตชุ่มชื่น (ราก)[1]
  2. รากช่วยแก้โรคประสาท ส่วนกลิ่นของรากช่วยกล่อมประสาท (ราก)[4]
  3. น้ำมันหอมระเหยช่วยทำให้นอนหลับ ทำให้สงบ (น้ำมันหอมระเหย)[4]
  4. ช่วยบำรุงโลหิต (ราก)[4]
  5. ช่วยแก้โลหิตและดี (ราก)[4]
  6. รากมีสรรพคุณเป็นยาลดไข้ แก้ไข้ แก้ไข้พิษ แก้ไข้อันเกิดแต่ซาง แก้ไข้อภิญญาณ (ราก)[1],[2],[4] ส่วนหัวมีสรรพคุณช่วยแก้ไข้หวัด (หัว)[4]
  7. ช่วยแก้อาการปวดท้อง (ราก)[1],[2],[4]
  8. ช่วยแก้ท้องร่วง ท้องเดิน (ราก, หัว)[4]
  9. รากใช้เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้อาการท้องอืด จุกเสียด ทำให้หาวเรอ (ราก, หัว)[1],[2],[4]
  10. ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ (ราก, หัว)[1],[2],[4]
  11. ช่วยแก้คุดทะราด (ราก)[4]
  12. ช่วยแก้ร้อน (ราก, หัว)[4]
  13. ใช้ต้มอาบทำให้กระชุ่มกระชวย (ราก)[4]
  14. ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย (หัว)[4]
  15. รากหญ้าแฝกจัดเป็นส่วนประกอบของตำรับยารักษาอาการทางระบบไหลเวียนโลหิตหรือตำรับยาแก้ลม เช่น ในตำรับ “ยาหอมเทพจิตร” (ตำรับยาแก้ลมกองละเอียด เช่น อาการหน้ามืดตาลาย สวิงสวาย ใจสั่น) และในตำรับ “ยาหอมนวโกฐ” (ตำรับยาแก้ลมวิงเวียน คลื่นเหียน อาเจียน แก้ลมปลายไข้)[4]
  16. หญ้าแฝกเป็นส่วนประกอบของตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ตำรับ “ยาประสะกานพลู” (ตำรับยาแก้อาการปวดท้อง จุกเสียดแน่นเฟ้อจากอาหารไม่ย่อยเนื่องจากธาตุไม่ปกติ) และใน “ตำรับยาเขียวหอม” (ตำรับยาบรรเทาอาการไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้พิษหัด พิษสุกใส)[4]
  17. นอกจากนี้ยังมีปรากฏอยู่ในตำรับ “ยามโหสถธิจันทน์” (ใช้เข้าเครื่องยาแฝกหอมร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นอีก 15 ชนิด แล้วนำมาบดให้ละเอียดทำเป็นแท่ง ใช้น้ำดอกไม้เป็นกระสาย ใช้ชโลมตัวหรือกินเป็นยาแก้ไข้) และยังปรากฏอยู่ในตำรับยาอายุรเวทของอินเดีย ที่นำมาใช้เป็นยาลดไข้ แก้กระหาย และแก้อาการปวดศีรษะ ส่วนในประเทศศรีลังกาจะเป็นที่รู้จักว่าเป็นน้ำมันที่ช่วยให้ระงับสงบ หรือ “Oil of tranquility”[4]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของหญ้าแฝก

  • องค์ประกอบทางเคมีที่พบ ได้แก่ น้ำมันหอมระเหย (Vetiver oil) ประมาณ 0.3-1% โดยประกอบไปด้วยสาร vetiverol ประมาณ 50-75%, alpha-vetivone 4.36%, beta-vetivenene, beta-vetivone, khusimol[4]
  • น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ทำให้ผิวหนังร้อนแดงอย่างอ่อน ทำให้นอนหลับ ทำให้สงบ[4]
  • หญ้าแฝกมีฤทธิ์ในการต้านออกซิเดชัน ต้านมาลาเรีย ต้านยีสต์ ยับยั้งเชื้อรา ไล่แมลง ฆ่าเห็บโค[4]
  • จากการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันของสารสกัดจากรากหญ้าแฝกด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูทดลองกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม หรือคิดเป็น 7,143 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดที่ใช้รักษาในคน และให้โดยวิธีการฉีดเข้าทางใต้ผิวหนังของหนูทดลองในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ไม่พบว่ามีความเป็นพิษ[4]

ประโยชน์ของหญ้าแฝก

  1. หญ้าแฝกหอมเป็นพืชที่สะสมน้ำมันหอมไว้ในส่วนของราก คนไทยสมัยก่อนจึงใช้รากของหญ้าแฝกเป็นเครื่องหอมสำหรับอบเสื้อผ้า แก้กลิ่นอับในตู้เสื้อผ้า ใช้ขับไล่แมลง ด้วยการใช้รากแห้งนำมาแขวนในตู้เสื้อผ้า และยังใช้ผสมกับน้ำมันให้เกิดกลิ่นหอม หรือนำไปผลิตเป็นเครื่องสำอางต่อไป[3]
  2. คุณสมบัติของหญ้าแฝก เนื่องจากภายในของรากหญ้าแฝกมีลักษณะเหมือนกับรากของพืชน้ำ มันจึงสามารถทนต่อน้ำท่วมขังได้เป็นอย่างดี จึงนำมาใช้ปลูกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์เพื่อช่วยแก้ปัญหาและป้องกันการพังทลายของดิน เพื่อป้องกันความเสียหายของชั้นบันไดดินหรือคันคูคลองรับน้ำรอบเขา เพื่อป้องกันรักษาการกัดเซาะของน้ำจากแม่น้ำบริเวณคอสะพาน เพื่อป้องกันตะกอนดินลงสู่ทางน้ำ ปลูกเพื่อแก้ปัญหาดินดาน ฟื้นฟูดิน เพื่อควบคุมมลพิษ รักษาสภาพแวดล้อม หรือใช้ปลูกเป็นแถวตามแนวระดับ ขวางความลาดเท เป็นต้น[3]
  3. ส่วนประโยชน์ของหญ้าแฝกหอมอื่น ๆ เช่น การนำมาเย็บเป็นตับเพื่อใช้มุงหลังคา ใช้ในคอกสัตว์ รองนอนให้เล้าสัตว์เลี้ยง ใบใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ ใช้เพาะเห็ด ทำเป็นปุ๋ยหมักและพืชคลุมดิน หรือใช้รากนำมาทำพัด สำหรับพัดให้ความเย็นและให้กลิ่นหอมเย็น และใช้ในงานหัตถกรรมต่าง ๆ ทำเชือก หมวก ตะกร้า เครื่องประดับ เครื่องตกแต่งบ้าน ของใช้สำนักงาน ไม้อัด งานประดิษฐ์ งานจักสาร ฯลฯ[3]

รากแฝกหอม

References
  1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1.  “แฝก (Faek)”.  (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  หน้า 188.
  2. หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.  (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  “แฝกหอม”.  หน้า 206.
  3. นิตยสารเกษตรศาสตร์.  “หญ้าแฝกหอม”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.ku.ac.th/e-magazine/november45/.  [01 พ.ค. 2014].
  4. ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “แฝกหอม”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com.  [01 พ.ค. 2014].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by 阿, stefanottomanski, Ayala Moriel), www.kasetporpeang.com (by thidajan), www.haii.or.th, www.rdpb.go.th

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (MedThai)

 

สำหรับวิธีการปลูกหญ้าแฝกนั้นมีคำแนะนำในwebsite

เว็บไซต์หญ้าแฝกเฉลิมพระเกียรติ – กรมพัฒนาที่ดิน

 

“ท่านั่ง” พิชิตอาการปวดเมื่อย

ที่มา : เว็บไซต์ไทยรัฐ,สสส.

 

“ท่านั่ง” พิชิตอาการปวดเมื่อย thaihealth

รู้ไหมว่า อาการปวดหลังเพราะนั่งนาน มีสาเหตุสำคัญมาจาก การนั่งที่ “ผิดท่า” อาทิ

           การนั่งเอนพิงพนักโดยเว้นที่ว่างระหว่างสะโพกกับพนักพิง ส่งผลให้กระดูกสันหลังช่วงล่างงอเป็นทรงโค้ง   การนั่งหลังค่อม นั่งห่อไหล่ ทำให้กล้ามเนื้อต้นคอ สะบัก เมื่อย เกร็งอยู่ตลอดเวลา  กรณีมีการใช้งานอุปกรณ์ประเภทจอภาพประเภทต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ มือถือ แสงจากหน้าจออาจมีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ การจับเมาส์ด้วยท่าทางที่ผิดธรรมชาติเป็นระยะเวลาต่อเนื่องนานๆ หรือการเล่นมือถือในท่าเดิมซ้ำๆ อาจส่งผลร้ายแรงไปถึงขั้น อาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาท หรือเส้นเอ็นอักเสบ เกิดพังผืดยึด นิ้วล็อก หรือข้อมือล็อกได้

สำหรับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์ชอบนั่งท่าเดิมๆ ติดกันวันละหลายๆ ชั่วโมง สามารถปกป้องสุขภาพของตนเอง ด้วยท่านั่งที่ถูกต้องได้ ดังนี้

          1. นั่งหลังตรง นั่งให้เต็มก้นคือหลังตรงชิดขอบด้านในของเก้าอี้ การนั่งพิงพนัก ช่วยเรื่องการจัดระเบียบหลัง ทำให้หลังตรงโดยอัตโนมัติตามแนวของพนักพิง แต่ถ้าไม่ได้นั่งพิงพนัก ต้องพยายามฝึกนั่งหลังตรงตลอดเวลา

          2. ยืดไหล่ ตั้งคอตรง

          3. หากที่นั่งของเก้าอี้ลึกเกิน อาจจะหาหมอนหนุน เพื่อช่วยให้หลังตรงได้

          4. ควรเลือกขนาดของโต๊ะและเก้าอี้ให้เหมาะสมพอดีกับสรีระ สะโพกและขาต้องตั้งฉากกัน

          5. หากเก้าอี้สูงเกินไปและปรับระดับไม่ได้ ควรหาม้านั่งตัวเล็กไว้ใต้โต๊ะเพื่อวางเท้า

         6. ปรับระดับจอภาพของอุปกรณ์ที่ใช้ให้อยู่ในระดับสายตา

         7. จอภาพ ควรห่างจากตา 12-18 นิ้ว

         8. แป้นคีย์บอร์ดควรอยู่ในระดับข้อศอกและข้อมือ

         9. ใช้เมาส์โดยพักข้อศอกบนที่รองแขน และสามารถเคลื่อนไหวได้แบบไม่จำกัดพื้นที่ 

           และนอกจากนี้ ควรกะพริบตาบ่อยๆ ขณะใช้คอมพิวเตอร์หรือมองหน้าจอมือถือ เปลี่ยนอิริยาบถ ลุกเดิน และละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์และมือถือทุก 45 นาที รวมถึงออกกำลังกายเป็นประจำ เพียงแค่นี้ท่านก็จะห่างไกลจากอาการบาดเจ็บจากการนั่งผิดท่านานๆ แล้ว

         หมายเหตุ: ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือมีโรคเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและกระดูก ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวของท่านก่อนทำท่าออกกำลังกายดังที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อให้แน่ใจว่าท่าทางการ ออกกำลังจะไม่เป็นอันตรายต่อภาวะสุขภาพที่ท่านเป็นอยู่ และควรใช้ความระมัดระวังในการทำท่าออกกำลังกาย โดยให้ทำท่าต่างๆ อย่างช้าๆ และไม่ทำท่าเหยียดยืดที่รุนแรงหรือมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บของระบบกล้ามเนื้อและกระดูกได้

เชื้อก่อโรคในส้มตำหอยดอง

ที่มา : เว็บไซต์ไทยรัฐ

เชื้อก่อโรคในส้มตำหอยดอง thaihealth

ส้มตำ เป็นอาหารที่รับประทานได้ทุกมื้อ ทุกที่ ทุกเวลา เนื่องจากเป็นอาหารที่หารับประทานง่ายและปรุงเองได้ง่ายตามใจชอบโดยสามารถใส่วัตถุดิบได้หลากหลายชนิด

        เรามักเรียกชื่อส้มตำแต่ละชนิดตามวัตถุดิบ เช่น ส้มตำมะม่วง ส้มตำแตง ส้มตำถั่ว ส้มตำปูปลาร้า ส้มตำกระท้อน ส้มตำหอยดอง เป็นต้น

        หลายคนมักจะตั้งคำถามและพิพากษาให้ส้มตำเป็นอาหารที่ต้องเฝ้าระวังเรื่องความปลอดภัย เหตุเพราะบางรายทานแล้วเกิดอาการท้องร่วง ท้องเสีย ขั้นเบาถึงขั้นรุนแรง นั่นเป็นเรื่องที่ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ สาเหตุของอาการดังกล่าว เกิดขึ้นจากจุลินทรีย์ก่อโรคที่มีอยู่ในอาหาร และที่มักพบบ่อยและคุ้นหู คือ วิบริโอ พาราฮิโมไลติคัส

         เชื้อก่อโรคชนิดนี้ เป็นเชื้อที่มักพบปนเปื้อนในอาหารทะเล และตามธรรมชาติ ดิน แม่น้ำ ทะเล อากาศ เมื่อนำอาหารทะเลมาใช้เป็นวัตถุดิบปรุงอาหาร หรือหากมือผู้ปรุงสัมผัสกับเชื้อ เมื่อเราทานอาหารเข้าไป ร่างกายก็จะได้รับอันตรายจากเชื้อก่อโรคเข้าไปด้วย เชื้อชนิดนี้มีระยะฟักตัว 4-96 ชั่วโมง หลังจากที่ทานอาหารที่มีการปนเปื้อนเข้าไป ส่วนใหญ่อาการจะเกิดประมาณ 15 ชั่วโมงหลังจากได้รับเชื้อ อาการทั่วไปคือ ท้องเสีย เป็นตะคริว อาเจียน มีไข้หนาวสั่น

วันนี้ สถาบันอาหารทำการสุ่มเก็บตัวอย่างส้มตำหอยดองตามร้านขายส้มตำ จำนวน 5 ตัวอย่าง จาก 5 ย่านการค้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อตรวจหาการปนเปื้อนของ เชื้อ วิบริโอ พาราฮิโมไลติคัส ผลปรากฏว่าไม่พบการปนเปื้อนในส้มตำหอยดองทุกตัวอย่าง วันนี้ท่านที่โปรดปรานส้มตำหอยดองก็คงสบายใจกันได้

10 เคล็ดลับ ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ

ที่มา : ผศ.นพ.ยุทธนา  อุดมพรงานสร้างเสริมสุขภาพศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

10 เคล็ดลับ ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ thaihealth

ใครๆ ก็อยากมีสุขภาพที่แข็งแรง แต่การออกกำลังกายจะให้ได้สุขภาพดีนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

1. รู้จักประมาณตน การประมาณตนในการออกกำลังกายแต่พอควร จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญอาหารและพลังงานส่วนเกินได้ดี  มีข้อสังเกตคือ ถ้าออกกำลังกาย เหนื่อยแล้ว ยังฝืนต่อด้วยความหนักเท่าเดิมโดยไม่เหนื่อยเพิ่มขึ้น และพักไม่เกิน 10 นาที ก็รู้สึกหายเหนื่อย แสดงว่าร่างกายทนได้  ตรงข้ามถ้าออกกำลังกายจนเหนื่อยทนไม่ไหว หรือพักแล้วยังไม่หายเหนื่อย แนะนำให้หยุด   เพราะขืนเล่นต่อไป  อาจเกิดหัวใจวายเฉียบพลันได้

2. มีโรคประจำตัวหรือไม่ หากมี ควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเลือกวิธีการออกกำลังกายเพื่อความปลอดภัย

3. แต่งกายเหมาะสม  ควรใช้ผ้าฝ้าย  เพื่อระบายความร้อนสะสมที่เกิดขึ้นขณะออกกำลังกาย เพราะความร้อนจะเป็นตัวจำกัดการออกกำลังกาย แล้วยังทำอันตรายต่อระบบต่างๆ ในร่างกายด้วย ส่วนการเลือกใช้รองเท้าที่ไม่เหมาะกับสภาพสนาม อาจส่งผลเสียต่อการเคลื่อนไหวและเกิดการบาดเจ็บได้

4. เลือกเวลาออกกำลังกาย เวลาเช้าตรู่และตอนเย็นเหมาะที่สุดในการออกกำลังกายมากกว่าตอนกลางวัน  ซึ่งจะทำให้เหนื่อยเร็วและได้ปริมาณน้อย  บางรายอาจหน้ามืด10 เคล็ดลับ ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ thaihealthเป็นลมก็มี ทั้งนี้ควรเป็นเวลาเดียวกันทุกวัน เพราะจะส่งผลดีต่อการปรับตัวของร่างกาย

5. สภาพกระเพาะอาหาร  ควรงดอาหารหนักเพื่อป้องกันการจุกเสียดก่อนออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างน้อย 3 ชั่วโมง โดยเฉพาะกีฬาที่มีการกระทบกระแทก เช่น รักบี้ฟุตบอล  บาสเกตบอล รวมถึงกีฬาที่ต้องเล่นเป็นเวลานานๆ เช่น วิ่งมาราธอน  จักรยานทางไกล  ซึ่งควรรับประทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยง่ายในปริมาณไม่ถึงอิ่มเป็นระยะๆ จะดีกว่า

6. ดื่มน้ำเพียงพอ หลังการออกกำลังกาย ร่างกายจะสูญเสียเสียน้ำได้ถึง 2 ลิตร หรือมากกว่านั้น ดังนั้นควรให้น้ำชดเชยในปริมาณเท่ากับที่สูญเสียไป โดยดื่มทีละนิดๆ เป็นระยะ

7. บาดเจ็บกลางคัน  ขณะออกกำลังกาย  ให้หยุดพักจะดีที่สุด แต่หากบาดเจ็บเล็กน้อย อาจออกกำลังกายต่อได้ แต่ถ้ารู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น  ก็ต้องหยุด เพราะการฝืนต่อไปอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

8. จิตใจต้องพร้อม   ควรทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง หากมีเรื่องไม่สบายใจ ก็ไม่ควรออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

9. ความสม่ำเสมอ  ไม่ว่าจะออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรงหรือลดน้ำหนัก แต่จะได้ผลแค่ไหนขึ้นกับปริมาณ และความหนักเบาของการออกกำลังกายด้วย

10.พักผ่อนเพียงพอ  หลังการออกกำลังกาย  จำเป็นต้องพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูสภาพของตนเองและพร้อมรับการออกกำลังกายครั้งใหม่อย่างมีพลังต่อไป

1 10 11 12